การศึกษาดูงานความร่วมมือด้านการปรับตัวรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

นักศึกษาปริญญาโทสาขาปรัชญาจากสถาบันการจัดการป่าไม้ประเทศอินเดียกำลังเรียนรู้แนวทางการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของชุมชนในพื้นที่ป่าชุมชนในประเทศไทย

ภาพและเรื่อง โดย Lena Buell

วันที่ 20 มีนาคม 2555 :  เกษตรกรในประเทศไทยกำลังมีการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตกันมากขึ้นเป็นลำดับ  เพื่อรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ  ดังนั้นจึงมีบทเรียนที่มีค่ามากมายในระดับชุมชนท้องถิ่น  โครงการการศึกษาดูงานโครงการใหม่ ด้านการจัดการทรัพยากรธรรมชาติในบริบทของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่ RECOFTC จัดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้  ได้พานักศึกษาปริญญาโทด้านปรัชญา จากสถาบันการจัดการป่าไม้ประเทศ อินเดีย  ไปศึกษาดูงานที่จังหวัดตราดและน่าน  เพื่อเรียนรู้โดยตรงจากชุมชน เกี่ยวกับวิธีการปรับตัวของชุมชนท้องถิ่น  เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

ผู้เข้าร่วมดูงานได้รับความรู้เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการปรับตัวของชุมชน จากการบรรยายของผู้เชี่ยวชาญ  ได้พบและประชุมกับเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานรัฐในระดับอำเภอและระดับหมู่บ้าน  ได้เดินเท้าเข้าศึกษาแปลงปลูกข้าวแบบขั้นบันไดบนที่สูง  ศึกษาป่าชุมชนและอุทยานแห่งชาติดอยภูคา  เพื่อศึกษาสังเกตกิจกรรมและวิธีการปรับตัวของชุมชนที่กำลังดำเนินการอยู่

สถานที่แรกคือ บ้านเปร็ดในที่ตั้งอยู่ในจังหวัดตราด ในบริเวณชายฝั่งตะวันออกของประเทศไทย  ได้เข้าศึกษาการปฏิบัติการของชุมชน  การดูแลรักษาพื้นที่ป่าชายเลนเกือบ 12,500 ไร่ อย่างชาญฉลาดด้วยวิธีการใหม่ๆ  และการพัฒนาอาชีพสำหรับสมาชิกในชุมชน จำนวน 630 คน  ถึงแม้ว่าฤดูเพาะปลูกจะเปลี่ยนแปลงไป และผลผลิตที่ได้ก็ลดลง รวมทั้งระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นเป็นลำดับ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ  แต่ความสามารถในการปรับตัวของชุมชนนี้มีอยู่สูง  สามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้เป็นอย่างดี

 The study tour group visited a newly planted mangrove reforestation area in Ban Pred Nai, part of the community’s effort to curb the impacts of climate change.

คณะศึกษาดูงานเข้าเยี่ยมชมพื้นที่ปลูกป่าชายเลนในบ้านเปร็ดใน ที่เพิ่งมีการปลูกต้นไม้ป่าชายเลนเมื่อเร็วๆ นี้  เป็นความพยายามอีกด้านหนึ่งของชุมชน ในการรับมือกับผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

คณะศึกษาดูงานเข้าเยี่ยมหน่วยงานจัดการลุ่มน้ำแหนที่จังหวัดในภาคเหนือ  เพื่อแลกเปลี่ยนพูดคุยด้านความร่วมมือระหว่างภาครัฐและชุมชนในสถานการณ์ที่มีการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ    

The participants visited reforestation sites with the Watershed Management Unit staff (center and center right)

ผู้เข้าร่วมศึกษาดูงานเข้าเยี่ยมพื้นที่โครงการปลูกป่ากับเจ้าหน้าที่หน่วยจัดการลุ่มน้ำ (กลางและกลางขวา)

ป่าไม้ในบริเวณนี้ถูกทำลายอย่างกว้างขวาง ซึ่งเป็นผลพวงจากการให้สัมปทานป่าไม้ในช่วงปี พ.ศ. 2522   งานเร่งด่วนของทั้งฝ่ายชุมชนท้องถิ่นและฝ่ายหน่วยงานจัดการลุ่มน้ำ คือ การฟื้นฟูป่าด้วยการเพิ่มจำนวนต้นไม้ในผืนป่า ภายใต้โครงการที่ได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐบาลเดนมาร์ค  หน่วยงานจัดการลุ่มน้ำได้ทำงานร่วมกันกับชุมชนสร้างแนวกันไฟ  เพื่อป้องกันไม่ให้ไฟป่าที่กำลังควบคุมอยู่ลุกลามต่อไป  จัดทำแผนที่ของพื้นที่ลุ่มน้ำ โดยใช้เทคโนโลยี่ GIS และ GPS  และจัดทำกิจกรรมปลูกป่าในพื้นที่ป่าเสื่อมโทรม  จากความช่วยเหลือครั้งนี้  หน่วยงานจัดการลุ่มน้ำและชุมชนท้องถิ่นสามารถฟื้นฟูป่าในแถบลุ่มน้ำให้มีต้นไม้ปกคลุมเพิ่มขึ้นจนได้ผลเป็นที่น่าพอใจ  เป็นผืนป่าที่สามารถผลิตทรัพยากรน้ำได้มากขึ้นสำหรับชุมชนในบริเวณนั้นทั้งหมด  อีกทั้งยังก่อให้เกิดเครือข่ายความร่วมมือการทำงานร่วมกันที่เข้มแข็ง


วันรุ่งขึ้นคณะดูงานได้เข้าเยี่ยมหมู่บ้านน้ำไคร้ เป็นหมู่บ้านที่อยู่ในพื้นที่ลุ่ม  ทำงานร่วมกับหน่วยจัดการต้นน้ำด้านการป้องกันไฟป่า  และการควบคุมการลักลอบตัดไม้ทำลายป่า

ชาวบ้านเริ่มการแลกเปลี่ยนความรู้ด้วยการเล่าประวัติย้อนหลังของการจัดการทรัพยากรป่าโดยชุมชน  ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2530  แต่ความขัดแย้งเรื่องทรัพยากรน้ำระหว่างชุมชนในพื้นที่ลุ่มน้ำนี้  ยังคงเป็นประเด็นปัญหาที่สำคัญ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งชุมชนแม้วที่อาศัยอยู่ในแถบตอนบนของลุ่มน้ำ ชาวบ้านได้นำประเด็นปัญหาความขัดแย้งนี้ไปร้องเรียนกับองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต)  ซึ่งได้ช่วยไกล่เกลี่ยให้   ชุมชนบ้าน้ำไคร้ได้เชิญชุมชนแม้วเข้าร่วมเครือข่ายป่าชุมชนในท้องถิ่น  และทั้งสองชุมชนก็ได้ทำงานร่วมกันปักปันแนวเขตระหว่างหมู่บ้านทั้งสอง  ปัจจุบันบ้านน้ำไคร้ใช้แนวทางการจัดการป่าชุมชนที่อนุญาตให้ชาวบ้านเก็บหาผลิตภัณฑ์จากป่าที่ไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ไม้  เพื่อการบริโภคเท่านั้น (ไม่ใช่เพื่อการค้าขาย)  และชาวบ้านที่ยากจนสามารถตัดไม้ซุงจากป่ามาใช้ได้ถ้ามีความจำเป็นจริงๆ  โดยยื่นขออนุญาตจากคณะกรรมการหมู่บ้านก่อน

จากนั้นคณะศึกษาดูงานได้เดินทางต่อไปยังชุมชนบ้านปางยาง ซึ่งตั้งอยู่บนที่สูง  ชาวบ้านทำการเกษตรในรูปแบบขั้นบันได  และทำกิจกรรมวนเกษตร  เพื่อแก้ปัญหาด้านความแห้งแล้ง ซึ่งเป็นผลกระทบส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ  นอกจากนี้ ชาวบ้านยังได้เข้าร่วมในโครงการนำร่องที่จัดทำโดยมูลนิธิรักษ์ไทย  ปรับเปลี่ยนพื้นที่ปลูกข้าวไร่บนที่สูงเป็นแปลงนาข้าวแบบขั้นบันได  เป็นเทคนิคทางการเกษตรที่ใช้ที่ดินน้อยลง  แต่ได้ปริมาณผลผลิตเท่าเดิม  เมื่อโครงการนำร่องนี้เริ่มต้นขึ้น มีผู้เข้าร่วมจำนวน 9 ครอบครัว  ซึ่งได้บริจาคที่ดินส่วนเกินให้นำมาทำเป็นป่าชุมชน  มูลนิธิรักษ์ไทยจึงได้ติดตามความสามารถในการเก็บกักคาร์บอนของป่าชุมชนแห่งใหม่  และได้แสดงให้เห็นว่า เมื่อปล่อยที่ดินว่างเปล่าให้กลับคืนสู่สภาพป่า  พื้นที่เหล่านี้มีประโยชน์อย่างยิ่งในการช่วยลดผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

Study tour leader Ronnakorn Triraganon (left) points out a giant bee's nest in the canopy of Ban Nam Krai community forest
คุณรณกร  ตีรกานนท์  (ซ้าย) หัวหน้าคณะศึกษาดูงาน ชี้ให้ดูรังผึ้งขนาดยักษ์ที่ห้อยในเรือนยอดของต้นไม้ในป่าชุมชนของบ้านน้ำไคร้
 
Villagers plant papaya trees and other crops alongside terraced rice paddies, greening the hillsides and providing livelihood opportunities

ชาวบ้านปลูกมะละกอและพืชพรรณชนิดอื่นๆ ข้างๆ แปลงนาข้าวแบบขั้นบันได  ช่วยเพิ่มสีสันตามไหล่เขาให้ดูเขียวชอุ่ม  และหนทางดำรงชีพของชุมชนก็มีมากขึ้น

การเกษตรแบบขั้นบันไดเหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับกิจกรรมวนเกษตร  ครอบครัวที่เข้าร่วมส่วนใหญ่จะปลูกต้นมะละกอกระจัดกระจายไว้ในแปลงนาข้าว  นอกจากนี้ยังมีต้นพริก  เห็ด และพืชผักชนิดอื่นๆ ที่ช่วยให้ภูมิทัศน์ในบริเวณนี้ดูเขียวชอุ่มไปทั่ว  เป็นหนทางเพิ่มแหล่งอาหารเพื่อการยังชีพ  และหนทางการประกอบอาชีพ  เมื่อเห็นผลสำเร็จของครอบครัวที่เข้าร่วมโครงการ  ในไม่ช้าก็มีครอบครัวอื่นๆ ให้ความสนใจเข้าร่วมด้วย  ปัจจุบันจำนวนครัวเรือนที่เข้าร่วมทำการเกษตรแบบขั้นบันไดเพิ่มขึ้นเกือบถึง 40 ครัวเรือน  จาก 56 ครัวเรือนที่มีอยู่ในหมู่บ้าน  ทำให้ไหล่เขาในบริเวณนี้ที่ครั้งหนึ่ง ดาดไปด้วยรอยไหม้จากการเผาวัชพืชหน้าดิน  กลับคืนสู่สภาพอุดมสมบูรณ์  ดั่งเช่นที่ชาวบ้านคนหนึ่งกล่าวว่า  “นาข้าวคือบ้านที่สองของเรา  เราดูแลแปลงข้าวเหล่านี้ทุกตารางนิ้วด้วยความเอาใจใส่อย่างยิ่ง”

สถานที่สุดท้ายของการศึกษาดูงานคือ อุทยานแห่งชาติดอยภูคา ในจังหวัดน่าน  ในช่วงปี พ.ศ.2547-2551 อุทยานแห่งชาติดอยภูคา มูลนิธิรักษ์ไทยและสถาบันทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมลุ่มแม่น้ำโขง  ได้ร่วมกันดำเนินงานโครงการความร่วมมือจัดการพื้นที่คุ้มครอง (Joint Management of Projected Areas, JoMPA)  เพื่อพัฒนาปรับปรุงความร่วมมือระหว่างอุทยานและชุมชนให้ดีขึ้น  ในโครงการนี้ทางอุทยานฯ ได้ทำงานร่วมกับชุมชนเป้าหมาย 28 ชุมชน  ทำการปักปันกั้นเขตพื้นที่คุ้มครองแบบมีส่วนร่วม  ทำข้อตกลงการใช้ที่ดิน จัดทำแผนการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ  และเสริมสร้างขีดความสามารถด้านการอนุรักษ์และการฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติ  โครงการฯ นี้ได้ช่วยปรับปรุงความสันพันธ์ระหว่างอุทยานแห่งชาติดอยภูคาและชุมชนให้ดีขึ้น  สามารถลดความตึงเครียดและความไม่เชื่อใจระหว่างกันที่เคยมีได้ในระดับที่น่าพอใจ  ปัจจุบันอุทยานฯ และชุมชนมีความร่วมมือกันมากขึ้นในการทำงานที่เป็นประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองฝ่าย

นักศึกษาที่เข้าร่วมคนหนึ่งรู้สึกว่า การศึกษาดูงานครั้งนี้มีคุณค่าอย่างยิ่ง  ช่วยให้นักศึกษา “คิดในแง่มุมของการจัดการทรัพยากรธรรมชาติที่ริเริ่มโดยชุมชน  โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดการป่าไม้”  เธอคิดว่ามุมมองนี้ “ยิ่งสำคัญมากขึ้นไปอีก  เมื่อพิจารณาถึงทัศนคติของท้องถิ่นและของภูมิภาคต่อการลดผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ  ซึ่งมีความคาดหวังสูงที่จะให้ประเทศที่กำลังพัฒนา มีการดำเนินการในเรื่องนี้”

Participants pose with National Park employees in front of park headquartersคณะศึกษาดูงานถ่ายรูปร่วมกับเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติ หน้าสำนักงานของอุทยานฯ

เรียนรู้จากวัฒนธรรมและบริบทที่แตกต่าง


การดูงานในแต่ละจุด  จะมีการไต่ถามและแลกเปลี่ยนพูดคุยกับชุมชนเกี่ยวกับแผนงานต่างๆ และวิธีการจัดการ  ดร.โยเกซ  ดูเบย์   หัวหน้าโครงการปริญญาโทสาขาปรัชญากล่าวว่า “จุดประสงค์ของเราคือ เพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับยุทธศาสตร์การปรับตัวรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ประเทศอื่นใช้  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มุ่งหวังให้นักศึกษาได้เห็นและเรียนรู้ประสบการณ์ และความพยายามในด้านนี้ที่กำลังเกิดขึ้น “นอกประเทศ”  ทั้งนี้เพราะการจัดการทรัพยากรธรรมชาติในประเทศไทยและประเทศอินเดียนั้นมีความแตกต่างกันมากในหลายบริบท

 

นักศึกษาที่มาดูงานกล่าวว่า “ในประเทศอินเดีย การทำงานร่วมกันอย่างได้ผล จะต้องมีข้อตกลงอย่างเป็นทางการที่กำหนดให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย  ต้องมีหน้าที่รับผิดชอบดำเนินการเรื่องหนึ่งเรื่องใดให้ได้ผลสำเร็จ”  ระหว่างการดูงานมีเจ้าหน้าที่รัฐบาลไทยพูดถึง การพูดคุยไม่เป็นทางการกับชาวบ้าน เพื่อทำความเข้าใจและให้ความยินยอมเกี่ยวกับการจัดการทรัพยากร   นักศึกษาเหล่านั้นถึงกับอึ้งด้วยความประหลาดใจ  พวกเขาบอกว่า  “การจัดการอย่างไม่เป็นทางการเช่นนี้ จะไม่ได้ผลอย่างแน่นอนในประเทศอินเดีย”

 

ดร.โยเกซ ถามขึ้นว่า “การพูดคุยช่วยได้อย่างไร”  ในประเทศอินเดีย เราต้องใช้เครื่องมือหลากหลายชนิด  เริ่มต้นด้วยการพูดคุยกับผู้มีอำนาจมากที่สุดในชุมชน  ทำให้คนผู้นี้เชื่อ  จากนั้นจึงให้เขาเป็นผู้กระจายข่าวสารให้ทั่วชุมชน

 

ประสบการณ์และแนวทางดำเนินงานหลากหลายที่มีอยู่ในกรณีศึกษาต่างๆ ที่ได้ไปศึกษาดูงาน  ทำให้นักศึกษาได้เรียนรู้วิธีปฏิบัติที่แตกต่างออกไปสำหรับการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ แบบมีส่วนร่วม  รวมทั้งได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้มุมมองใหม่ๆ จากการดำเนินงานของนักศึกษาในประเทศอินเดีย  นักศึกษาคนหนึ่งกล่าวว่า “เราจะนำเครื่องมือต่างๆ ที่ได้จากการศึกษาดูงานไปใช้ในการเสริมสร้างขีดความสามารถของชุมชนในชนบทที่เราจะเข้าไปทำงานด้วย  วิธีการพูดคุยกับชุมชนที่เราได้เรียนรู้จะเป็นประโยชน์กับพวกเรามาก  เพราะในประเทศอินเดีย ประเด็นภาษาเป็นอุปสรรคอย่างยิ่ง  ในชุมชนที่อยู่ในแถบต่างๆ ของประเทศ”  ทักษะด้านนี้มีค่ามาก  เมื่อต้องทำงานกับกลุ่มชุมชนที่มีความแตดต่างหลากหลายกันของอินเดีย


โดยรวมแล้ว ผู้เข้าร่วมทั้งหลายพบว่า การศึกษาดูงานครั้งนี้  ทำให้มีความเข้าใจชัดเจนยิ่งขึ้น  และได้สาระที่มีประโยชน์มาก  เหนือสิ่งอื่นใด  ได้ความสนุกสนาน  นักศึกษาหลายคนที่ไม่เคยออกนอกประเทศอินเดียได้มาเมืองไทยเป็นครั้งแรก  และได้ประสบการณ์ด้านวัฒนธรรมที่จะมีอิทธิพลต่อชีวิตและอาชีพของพวกเขาต่อไปในอนาคตอีกหลายปี

News Type: