RECOFTC ประเทศไทย
FLEGT Thailand

เวทีเปิดตัว การกำหนดคำนิยามความถูกต้องของไม้

ผู้เข้าร่วมเสวนา
อัฉราภรณ์ ได้ไซร้

เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2558 ที่ผ่านมา กรมป่าไม้ได้มีการจัดเสวนาเปิดตัวโครงการประชุมเชิงปฏิบัติการ “การมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเกี่ยวกับนิยามความถูกต้องตามกฎหมายของในประเทศไทย” ณ โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพมหานคร โดยมีองค์กรภาคีและเครือข่ายเข้าร่วม ซึ่งศูนย์วนศาสตร์ชุมชนเพื่อคนกับป่า หรือ รีคอฟ และตัวแทนภาคประชาสังคม เครือข่ายภาคประชาสังคมเพื่อการจัดการป่าอย่างยั่งยืนและเป็นธรรม เฟล็กที ซึ่งเป็นหนึ่งในภาคีและผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับใช้กฎหมายป่าไม้ ธรรมาภิบาล และการค้า ได้เข้าร่วมในงานครั้งนี้ด้วย พร้อมผู้เข้าร่วมอีกว่า 160 คน โดยพิธีเปิดได้รับเกียรติจากนายสุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธาน ทั้งนี้ งานดังกล่าวจัดขึ้นเพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับการบังคับใช้กฎหมายป่าไม้ ธรรมาภิบาล และการค้า (Forest Law Enforecement,Governace and Trade: FLEGT)ตลอดจนกระตุ้นให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับการป่าไม้ตระหนักและร่วมกันแก้ไขปัญหาการลักลอบค้าไม้ที่ผิดกฎหมายอย่างมีธรรมาภิบาลและมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน อันจะนำไปสู่การพัฒนาการบริหารทรัพยากร การบังคับใช้กฎหมายและการค้าที่เป็นธรรม ภายใต้การมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง
นายสุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ กล่าวว่า โครงการนี้จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อไปในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติของประเทศ ถือว่าเป็นการพลิกโฉมวงการป่าไม้ ที่มุ่งเน้นการให้ความสำคัญกับกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย อีกทั้งยังเพิ่มเติมว่าในฐานะที่ทำงานด้านนโยบายยินดีที่จะให้การสนับสนุนและอำนวยความสะดวก เพื่อให้มีการค้าไม้ที่ถูกกฎหมาย อันจะนำไปสู่การอยู่ดีกินดีของประชาชน พร้อมกับการสร้างพื้นที่สีเขียวให้เกิดขึ้นในประเทศต่อไป

ผู้เข้าร่วมประชุม

ด้านนายประลอง ดำรงไทย รองอธิบดีกรมป่าไม้ มีความคาดหวังที่จะเห็นเฟล็กทีเป็นทางออกของการลดการค้าไม้เถื่อนและส่งเสริมการปลูกสวนป่าไม้เศรษฐกิจ  โดยกล่าวว่า ในส่วนของภาครัฐมีนโยบายในการใช้กฎหมายป่าไม้ เพื่อหยุดยั้งการบุกรุกเข้ามาทำลายป่า ตลอดจนการส่งเสริมให้เกิดการมีส่วนร่วมในการดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติอยู่แล้ว อีกทั้งมุ่งเน้นความสำคัญในการสร้างเครือข่ายการมีส่วนร่วมของประชาชน ส่งเสริมให้ชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในการดูแลรักษาป่า และใช้ประโยชน์ร่วมกัน ซึ่งหนึ่งภารกิจหลักที่สำคัญตอนนี้ที่เป็นไปเพื่อให้เกิดการค้า คือการเจรจากับ EU ให้ได้ FLEGT License เพื่อให้สามารถส่งไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ไปจำหน่ายใน EU ได้ โดยเน้นย้ำว่า เฟล็กที จะก่อให้เกิดความเป็นธรรม เสมอภาค มั่นคง มั่งคังและยั่งยืนได้ อย่างไรก็ตาม นายประลองได้ฝากทิ้งท้ายว่า เฟล็กทีจะเป็นทางออกได้แท้จริงหรือไม่นั้น จะต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนร่วมกันผลักดัน

บรรยากาศการประชุม

ในส่วนของภาคธุรกิจ นายจิรวัฒน์ ตั้งกิจงามวงศ์ กล่าวถึงการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยด้วยเศรษฐกิจสีเขียว เพื่อแก้ปัญหาการลักลอบค้าไม้ที่ผิดกฎหมาย ว่าไม้และผลิตภัณฑ์จากไม้นั้น เป็นที่ต้องการของตลาดเป็นอย่างมาก แต่การที่จะทำให้การค้าและการส่งออกไม้ของประเทศไทยประสบความสำเร็จ ในยุคของการเปิดตลาดเสรีอาเซียน หรือ AEC นั้น จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับที่มาของไม้ กล่าวคือ ต้องมีแหล่งที่มาอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ไม่ใช่เพียงเพื่อเป็นประโยชน์ต่อการค้าต่ออียูเท่านั้น แต่เพื่อจะสามารถเป็นประตูสู่การค้าไปยังตลาดอื่นๆ ด้วย และเป็นการสร้างมาตรฐานของประเทศเราให้มีความน่าเชื่อถือ

บรรยากาศการประชุม

และสำหรับผู้แทนภาคประชาสังคม คือ นายเกริก มีมุ่งกิจ ได้กล่าวถึงความสำคัญของเกษตรกรรายย่อยต่อการจัดการป่าไม้อย่างยั่งยืนบนฐานธรรมภิบาลและการค้าที่เป็นธรรม มุ่งเน้นในเรื่องสิทธิในการใช้และจัดการทรัพยากรป่าหรือต้นไม้ที่ตนเองมี ตลอดจนข้อท้าทายที่เกิดจากการการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง และการสร้างธรรมาภิบาลให้เกิดขึ้น ก่อนที่จะดำเนินการเจรจาเพื่อการค้า นอกจากนี้ยังได้เสริมให้เห็นแนวทางในการที่จะช่วยให้เกษตรกรขนาดเล็กและชุมชนมีระบบการผลิตและการค้าไม้ที่ถูกต้องและเป็นธรรม อันได้แก่ การส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพแก่เกษตรกร การส่งเสริมระดับนโยบาย พัฒนาระบบการค้าที่ให้เกษตรกรรายย่อยสามารถเข้าไปร่วมได้ การสนับสนุนให้มีกลไกการตรวจสอบและรับรอง และการสร้างความร่วมมือเพื่อให้เกิดธรรมาภิบาล

การมีส่วนร่วมของผู้เข้าร่วม

ทั้งนี้ ภายในงานได้มีการแถลงข่าว จากผู้แทนทั้งสามภาคส่วน เพื่อให้เห็นถึงความสำคัญของเฟล็กที และแนวทางความร่วมมือต่อกันในอนาคต ในการที่จะผลักดันเพื่อให้สามารถดำเนินการได้อย่างเป็นรูปธรรมในอนาคต โดยทิศทางที่จะเกิดขึ้นต่อไปนั้น จะได้มีการผลักดันในระดับนโยบาย ควบคู่ไปกับการเตรียมความพร้อมในระดับพื้นที่ โดยจะมีการจัดเวทีให้ความรู้ในระดับภูมิภาคในลำดับต่อไป